1. สถานทูตจีน เขียนรายงาน (เป็นภาษาจีน) ระบุการศึกษาบ้านเรา เน้นแต่ด้าน ศิลปศาสตร์ นิติฯรัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การตลาด บริหารธุรกิจ ซึ่งจบมาแล้ว ไม่มีงานทำ ความรู้กระจอก สักแต่ให้มีปริญญา ไม่ได้สร้าง value-added ใดๆ
นักวิทยาศาสตร์ การวิจัย แทบจะเป็นศูนย์
Guanmu อดีตเอกอัครรทูตจีน บอกว่า25ปีที่ผ่านมา ไทยผลิตยาง ยังไงก็ยังทำแบบนั้น ไม่สร้างมูลค่าเพิ่ม ทำเป็นยางรถยนต์ หรือสิ่งประดิษฐ์ อะไรเองไม่เป็น สร้างคิดอะไรไม่ได้

2. มหาวิทยาลัยไทย รวมไปถึง ธรรมศาสตร์จุฬาฯ กิจกรรมเน้นเต้น หลีดโชว์หล่อสวย แต่โง่ ไม่มีการฝึกงานอะไร ที่เป็นประโยชน์ ขอเงินพ่อแม่ เที่ยวกลางคืน ไปวันๆ โชว์วัตถุนิยม ว่ารถกูขับรถไร สังคมมันวัดกันแค่นี้ (เห็นมากับตา) พวกดีๆ ก็มีแต่มันน้อย เอาจริงๆนะ ผมว่ามีแค่10% ในขณะที่เด็กสหรัฐฯ พวก
MIT Stanford
หรือเด็กจีนชิงหัว ปิดเทอม พยายามหางานทำ ฝึกงาน UN World Bank JP Morgan
หรือมาค่ายผู้ลี้ภัย ชาวโรฮิงญาในไทย

3. จ่ายครบจบแน่ ปริญญาขยะ เต็มบ้าน คือ หางานไรทำไม่ได้ มีแต่อยากจะรวย "ผมจะทำธุรกิจ" คือมันคิดไรไม่ออก นอกจากขายของ นอกจากนี้ ยังทุจริต ผันงบกระทรวงศึกษา ให้ทุนกู้ยืม มหาวิทยาลัยเอกชน ที่มีนักการเมือง เป็นเจ้าของ สุดท้ายหนี้สูญ เพราะเด็กบ้านนอก ได้มาเข้ากรุง สักว่าจบปริญญา ประดับบ้าน แต่มันหางานทำไม่ได้ ปึหนี่งหมดเงิน ภาษีประเทศซาติ ไปหลายหมื่นล้าน เรื่องเลวๆนี้ ไม่เคยถูกตรวจสอบ

4. ภาษาอังกฤษ ห่วยแตกขั้นเทพ จริงๆ อจ.จุฬาฯส่วนใหญ่ ก็ลอกบทความฝรั่ง มาแปลๆ ไม่มีความคิด อะไรใหม่ หาน้อยคน ที่จบระดับโลก ไปดูCVเอาเอง ได้จบมหาลัยห้องแถว B-class ทั้งนั้น งานวิจัยขยะ copy/paste เด็มไปหมด ครูมัธยม เอาแค่โรงเรียน ในกรุงเทพฯ ผมเคยถูกเชิญไปพูด ยังออกเสียง สะกดศัพท์ไม่ถูกเลย จะสอนเด็กให้ถูก อย่างไร แล้วโรงเรียน ในอ.ปัว จังหวัดน่าน มันจะห่วยแตก ขนาดไหน

5.ความรู้ใหม่ๆ หรือเทคโนโลยี มันหมุนเวียน เป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งคนไทยรู้แต่ ภาษาไทยตัวเอง ไม่มีความสามารถ แข่งขันอะไร ในระดับโลก โลกทรรศน์สุดจะแคบ สำนักข่าวไทย รายงานแต่เรื่องเส็งเคร็ง ไม่ได้สร้างคุณค่า ความรู้อะไร คนนั้นท้องกับคนนี้ ตำรวจตั้งด่านไถตังค์ ไปวันๆ ไปทำงานมา หลายประเทศ เช่น ฮ่องกง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ บอกได้เลย
นักเรียนไทย โคตรจะขี้เกียจ ไม่รู้ปีหนึ่งๆ อ่านหนังสือกัน กี่เล่ม?...

รัฐบาลไหนจะคิดแก้ไขบ้างหนอ..

 มีข่าวเรื่องข้อเท็จจริงและการตอบโต้จากหลายๆฝ่ายครับ
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
-หนึ่งในความเห็นตอบโต้ ซึ่งน่าสนใจครับ
- - - - - - - - - - - - -

เอาละนะ ผมจะตอบเป็นข้อๆ

1.เมืองจีนมียุทธศาสตร์ C&D ( ก๊อปต้นแบบของเขาก่อนแล้วมาพัฒนาต่อยอด ) ชัดเจน ต่อให้คนไม่รู้ภาษาอังกฤษ รัฐบาลจีนก็พยายามแปลตำราภาษาอื่นๆ เป็นภาษาจีน ทำให้ทุกคนเข้าถึงความรู้ชั้นสูงได้อย่างเสมอภาค

ขณะที่จีนทุ่มงบวิจัยถึง 1.98% ของ GDP ( ข้อมูลปี 2012 ) และหวังว่าปี 2020 จะถึง 2.50% ของ GDP

http://www.universityworldnews.com/article.php?story=20141114112226407

มาดูเมืองไทย ถ้าใครบอกเราไม่เก่งคงเกินไปหน่อย คณะแพทย์-วิดวะ ม.ดังๆ บ้านเรา ก็ไม่น้อยหน้าใครหรอก แต่ปัญหาคือ นศ. หรืออาจารย์ ทำโปรเจคท์จบ หรือทำวิทยฐานะเลื่อนต่ำแหน่ง เสร็จแล้วก็แค่นั้น ไม่ได้นำมาต่อยอดเป็น Mass Product แบบจีนเขา

มาดูงบวิจัยบ้านเรานะครับ มีแค่ 0.37% ของ GDP เท่านั้น ( ข้อมูลปี 2014 )

http://www.isranews.org/thaireform-news-strategy/item/28866-r-d.html

พูดง่ายๆ ภาครัฐบ้านเรา ( เอกชนก็ด้วย ) มองว่าซื้อเอาถูกกว่าเยอะ ไม่พลาด ไม่ล้มเหลว ไม่เสี่ยงแบบวิจัยเอง

แล้วแบบนี้ใครอยากจะเป็นนักวิจัย? เพราะเป็นแล้วไม่มีงานให้ทำสมกับวุฒิของเขา ( ความจริงคนจบสายวิทยาศาสตร์ วท.บ. เยอะนะครับ แต่เป็นคณะอาภัพ เพราะจบมาแล้วตกงาน ทั้งๆ ที่ตอนเรียนก็เรียนหนักไม่แพ้พวกวิดวะเลย )

2.อเมริกาทำงาน Part-Time มีเงินพอส่งตัวเองเรียนสบายๆ ( มหา'ลัย นี่ใครพึ่งพ่อแม่ส่งเรียนนี่โดนดูถูกนะเออ 18 ปุ๊บก็ออกจากบ้านพึ่งตัวเองแล้ว บางคนไม่เรียนต่อด้วย แค่ High School หรือ College ก็เพียงพอประกอบอาชีพแล้ว ) ถามว่าบ้านเรา Part-Time รายได้ดีอย่างเขาไหม? ขนาด Full-Time ยังลำบากเลยถ้าจะส่งตัวเองเรียนมหา'ลัย ( นอกจากรามฯ กับ มสธ. ที่ค่าเทอมถูก ) ดังนั้นเด็กไทยจึงเลือกเรียนให้จบรวดเดียว แล้วทำงานดีกว่า

ยังไม่นับความต่างของค่าเงิน ฝรั่งทำงานไม่นาน มีเงินเก็บนั่งเครื่องมาเที่ยวเมืองไทย แต่คนไทยทำงานทั้งชีวิต ก็อาจไม่มีเงินพอไปเที่ยวเมืองฝรั่ง

ถามว่าคนไทยผิดหรือที่โครงสร้างเศรษฐกิจเป็นแบบนี้?

3.จ่ายครบจบแน่ มีจริงไม่เถียง แต่กรุณาอย่าเหมารวม ถ้า ม.เอกชน หรือ ม.รัฐ ระดับล่างๆ น่ะอาจมี แต่ ม.ดังๆ เขาไม่เอาชื่อเสียงที่สะสมมานาน มาแลกกับเรื่องพวกนี้หรอกครับ

ส่วนเรื่องชอบขายของ-ทำธุรกิจ มันก็เป็นสิทธิส่วนบุคคลนะ จะล้มเหลวหรือสำเร็จก็เรื่องของเขาสิ เวลาจะพิสูจน์เองว่าใครเหมาะสมกับวงการนี้ ใครไม่เหมาะก็ต้องไปหางานอื่นทำ แต่อย่างน้อยก็ยังได้ลองทำ ได้รู้ด้วยตัวเองว่าทำไม่ได้ ดีกว่าล้มเลิกตั้งแต่โดนคนอื่นปรามาส

ขนาดคนจีนยังสอนลูกให้ทำมาค้าขาย เพื่อความมั่งคั่งเลย แล้วพอคนไทยอยากทำบ้างหาว่าขยะ กาก?

4-5.คนที่ใช้ภาษาอังกฤษได้ดี คือคนที่ได้ใช้จริง พูดจริงบ่อยๆ ถามว่าบ้านเรามันเอื้อขนาดนั้นไหม? ถ้าตามแหล่งท่องเที่ยว ฝรั่งเยอะ หรือพวกเรียนนานาชาติ หรือพวกเรียนเอกอังกฤษ บรรยากาศมันก็กระตุ้นให้อยากฝึกอยากใช้ แต่คนที่ไม่ได้อยู่ในย่านพวกนี้ล่ะ? จะให้เก่งอะไรนักหนา?

ประเทศที่คนส่วนใหญ่ใช้ภาษาอังกฤษได้ดี เอาจริงๆ ก็มีแต่ประเทศที่เคยเป็นเมืองขึ้นอังกฤษแค่นั้นแหละ เพราะถึงเป็นเอกราช เพื่อความง่ายและเป็นเอกภาพระหว่างชนเผ่าต่างๆ ที่ต่างก็มีภาษาตัวเอง ก็ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการซะ

ถ้าเมืองจีนเชื่อว่าใช้ภาษาอังกฤษไม่เก่ง=กาก ทำไมยังต้องแปลตำราภาษาอื่นๆ เป็นภาษาจีนล่ะ ทำไมไม่ให้เรียนตำราอังกฤษเลยล่ะ?

แต่อย่าลืมว่าธรรมชาติคนไทย รากของเราไม่ได้ลำบากเหมือนจีน ฝรั่ง ญี่ปุ่น เกาหลี สิงคโปร์ ยิว เมื่อไม่ลำบาก แรงกระตือรือร้นมันก็ไม่มากพอจะผลักดันให้ประเทศเป็นมหาอำนาจ เราอุดมสมบูรณ์ เราโตกันมาแบบนี้

ดูรายงานของ WEF เราก็ไม่ขี้เหร่นะ อย่าไปเทียบกับมหาอำนาจ ที่เขาเป็นได้เพราะเขาต้องดิ้นรน แต่บ้านเรา คนไทยไม่ต้องดิ้นรนขนาดนั้น

ถ้าอยากให้เก่งภาษาอังกฤษ เอาไหมล่ะ? ยกเลิกภาษาไทยไปเลย ให้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ รับรองใน Gen. เดียว เก่งแน่ๆ

หรือถ้าอยากเป็นมหาอำนาจ เอาไหม? เลิกสอนว่าเมืองไทยในน้ำมีปลาในนามีข้าว แล้วสอนว่าเมืองไทยมีแต่ความลำบาก ภัยพิบัติต่างๆ นานา เอาให้เลวร้ายสุดๆ คนจะได้กระตือรือร้น

เอาไหมครับ?

- - - - -

(ข่าวที่เกี่ยวข้อง : อีกหนึ่งคำวิจารณ์)