ข่าวด่วน 
รับสอนอเมริกัน อิงลิช  -  รับสอนภาษาไทยให้กับชาวต่างชาติและลูกครึ่ง   -  เชี่ยวชาญการว่าความให้ชาวต่างชาติ  -  รับสอนเทนนิส
           *สุดยอดเส้นทางลัด ในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ เพื่อการศึกษา,อาชีพ-การงาน, ธุรกิจ-การค้า,เพื่อสาระและบันเทิง
             
- ท่านจะหัวเราะ จนเหงือกและฟันหลุดกระเด็น!!
             - เพิ่มพูนความรู้ เอิ๊กอ๊ากตัวงอ ชะลอความแก่
(คลิกที่นี่)
<The Funtastic Way to Learn English>
 อัพเดททุกวัน มันส์ทะลุโลก
    เว็บสอนภาษา ที่ให้มากกว่าการสอนภาษา  .............    
 

  ประวัติศาสตร์ไทยต้องจารึก ส.ส - ส.ว ประกาศอิสรภาพ

เรื่อง คัดค้านและไม่ยอมรับการใช้อำนาจที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญของศาลรัฐธรรมนูญ

เรียน พี่น้องประชาชนที่เคารพทุกท่าน

อ้างถึง มติคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2556 และวันที่ 11 เมษายน 2556

กรณีรับคำร้องเกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของรัฐสภาไว้พิจารณา

ตามที่นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภาได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2556 กล่าวอ้างว่าการที่ประธานรัฐสภา

และสมาชิกรัฐสภารวม 312 คน
ได้เสนอและพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 68 ถือเป็นการล้มล้างการปกครองฯ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองประเทศโดยวิธีการ
ซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ และต่อมานายบวร ยสินทร ได้ยื่นคำร้องในกรณีเดียวกันอีก ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญ

ได้มีมติเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2556 และวันที่
11 เมษายน 2556 รับคำร้องทั้งสองฉบับไว้พิจารณา นั้น

ข้าพเจ้าในนามสมาชิกรัฐสภาทั้ง 312 คน ซึ่งเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ขอเรียนว่า การรับคำร้องดังกล่าวไว้พิจารณานั้น เป็นการกระทำที่ขัดต่อ
บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และหลักการพื้นฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างชัดแจ้ง จึงเป็นการกระทำโดยปราศจากอำนาจ
ดังเหตุผลที่จะเรียนให้ทราบดังต่อไปนี้

ข้อ 1. ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจรับคำร้องกรณีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของรัฐสภาไว้พิจารณา

1.1 ศาลรัฐธรรมนูญเป็นศาลที่มีอำนาจหน้าที่เฉพาะตามที่บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้อง

ให้อำนาจไว้เท่านั้นเรื่องใดที่รัฐธรรมนูญ
และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติให้อำนาจไว้โดยชัดแจ้ง ศาลรัฐธรรมนูญย่อมไม่มีอำนาจที่จะรับเรื่องดังกล่าว

ไว้พิจารณาวินิจฉัยได้ และการที่ศาลรัฐธรรมนูญ
เป็นศาลย่อมต้องดำเนินการให้เป็นไปโดยยุติธรรม ตามรัฐธรรมนูญ ตามกฎหมาย และในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ดังที่

บัญญัติไว้ในมาตรา 197 ของรัฐธรรมนูญ เมื่อศาลรัฐธรรมนูญต้องผูกพันและปฏิบัติตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกับศาล

และองค์กรอื่นๆตามรัฐธรรมนูญ การที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องในเรื่องที่ไม่อยู่ในอำนาจ
หน้าที่ของตนไว้พิจารณา ย่อมเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ

การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญนั้น รัฐธรรมนูญได้บัญญัติไว้เป็นการเฉพาะให้เป็นอำนาจหน้าที่ของรัฐสภาในหมวด 15 มาตรา 291 โดยกำหนดถึงผู้ที่จะเสนอญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติม
รัฐธรรมนูญ ข้อห้ามในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ วิธีการเสนอญัตติ กระบวนการหรือขั้นตอนในการพิจารณา

และลงมติในร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม รวมถึงขั้นตอนการนำ
ร่างรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าฯและประกาศใช้ ทั้งนี้ ไม่มีถ้อยคำใดในมาตรา 291หรือมาตราอื่นในรัฐธรรมนูญที่ให้อำนาจ

ศาลรัฐธรรมนูญเข้าไปตรวจสอบกระบวนการเสนอและ
พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญได้เลย และไม่มีหลักการในรัฐธรรมนูญ หรือบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญ

ในการตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของร่าง
รัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมได้เช่นกัน อันแตกต่างกับการตราพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ และการตราพระราชบัญญัติที่รัฐธรรมนูญให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญที่จะตรวจสอบ
ความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของร่างหรือพระราชบัญญัติดังกล่าวได้

1.2 อำนาจการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของรัฐสภานั้น มีข้อห้ามหรือข้อจำกัดเฉพาะตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 291

วรรคสองของรัฐธรรมนูญเท่านั้นกล่าวคือ ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบ

ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเปลี่ยนแปลงรูปของรัฐจากรัฐเดี่ยวเป็นสาธารณรัฐ
หรือรัฐรูปแบบอื่น ๆจะเสนอมิได้ นอกเหนือจากข้อจำกัดนี้แล้ว รัฐธรรมนูญมิได้บัญญัติห้ามมิให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญไม่ว่าในมาตราใดแต่อย่างใด ศาลรัฐธรรมนูญจะสร้างข้อจำกัดเพิ่มเติมในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญหรือตีความรัฐธรรมนูญเพื่อขยายอำนาจของตนในเรื่องนี้มิได้เลย ดังนั้น รัฐสภาจึงชอบที่จะแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
ได้อย่างกว้างขวาง เช่น ปรับโครงสร้างองค์กรต่างๆ ให้มีหรือยกเลิกองค์กรบางองค์กร เปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์เงื่อนไขใดๆในรัฐธรรมนูญ หรือแม้แต่การยกเลิกศาลรัฐธรรมนูญแล้วจัดตั้งเป็น
คณะตุลาการรัฐธรรมนูญก็ย่อมทำได้ เหตุที่รัฐธรรมนูญกำหนดข้อจำกัดไว้เพียงเท่าที่กล่าวไว้ข้างต้น เพราะโดยหลักการแล้วแม้รัฐธรรมนูญ

จะเป็นกฎหมายสูงสุด แต่รัฐธรรมนูญก็ต้องพลวัตร
เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพการเปลี่ยนแปลงของการเมือง สังคม เศรษฐกิจ เมื่อรัฐธรรมนูญบังคับใช้แล้วเกิดปัญหาก็ชอบที่รัฐสภาจะต้องแก้ไขเพิ่มเติมได้ การวางข้อจำกัดมากเกินไปจนไม่อาจแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้โดยวิถีทางรัฐสภาก็อาจทำให้มีการใช้วิธีการนอกรัฐธรรมนูญในการเปลี่ยนแปลงได้

เช่น การทำรัฐประหาร เป็นต้น
ดังจะเห็นได้ว่ารัฐธรรมนูญทุกฉบับก่อน พ.ศ.2540ไม่เคยวางข้อห้ามหรือข้อจำกัดในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญไว้เลย ประกอบกับรัฐสภา

เป็นองค์กรฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งสมาชิกเป็น
ผู้แทนปวงชนชาวไทย และเกือบทั้งหมดมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน การที่สมาชิกรัฐสภาแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญจึงถือเป็นการกระทำในนามของประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตย รัฐธรรมนูญทุกฉบับจะกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการแก้ไขเพิ่มเติมให้ยากกว่าพระราชบัญญัติทั่วไป อันเป็นเหตุผลสำคัญของหลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะแก้ไขเพิ่มเติมได้ก็แต่โดยรัฐสภาซึ่งได้รับมอบอำนาจมาจากประชาชนโดยตรงเท่านั้น

ดังนั้น ในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ หากไม่อยู่ในข้อจำกัดของการห้ามแก้ไขเพิ่มเติมตามมาตรา 291 วรรคสอง และการดำเนินการเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในมาตรา 291 แล้ว ย่อมเป็นอำนาจโดยชอบของรัฐสภาที่จะดำเนินการได้ องค์กรอื่นใดตามรัฐธรรมนูญรวมถึงศาลรัฐธรรมนูญย่อมไม่มีอำนาจที่จะเข้าไปตรวจสอบ ซึ่งการแก้ไขจะเหมาะสมหรือไม่
ถูกใจทุกฝ่ายหรือไม่ ศาลไม่มีอำนาจตรวจสอบ เป็นความรับผิดชอบทางการเมืองของรัฐสภาต่อประชาชน

1.3 การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนั้น ได้ยึดหลักการแบ่งแยกอำนาจหรือแบ่งแยกภารกิจในการใช้อำนาจ

อธิปไตยในทางนิติบัญญัติ บริหาร
และตุลาการ ออกจากกัน โดยอำนาจนิติบัญญัตินั้น ใช้โดยองค์กรรัฐสภา อำนาจบริหารใช้โดยคณะรัฐมนตรี และอำนาจตุลาการใช้โดยองค์กร

ศาลทั้งหลาย ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 3 ของรัฐธรรมนูญ แต่ก็มีกระบวนการถ่วงดุลหรือกำหนดความสัมพันธ์ของการใช้อำนาจระหว่างองค์กรไว้บางประการตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ เช่น การให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบความ
ชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายที่ตราขึ้นโดยฝ่ายนิติบัญญัติ หรือการให้ฝ่ายนิติบัญญัติตรวจสอบการใช้อำนาจของฝ่ายบริหารได้ด้วยการเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ เป็นต้น
ทั้งนี้ เฉพาะเท่าที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้เท่านั้น หากกรณีใดรัฐธรรมนูญมิได้บัญญัติถึงความสัมพันธ์ของการใช้อำนาจระหว่างองค์กรไว้แล้ว องค์กรใดองค์กรหนึ่งจะใช้อำนาจหน้าที่ของตน
ไปกระทบหรือแทรกแซงการใช้อำนาจหน้าที่ขององค์กรอื่นมิได้

เมื่อรัฐสภาได้ใช้อำนาจหน้าที่ในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ และรัฐธรรมนูญมิได้บัญญัติให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญ

ที่จะเข้าไปตรวจสอบได้แล้ว ศาลรัฐธรรมนูญย่อมไม่มีอำนาจที่จะรับคำร้องเกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญไว้พิจารณาได้ไม่ว่ากรณีใด

นทำนองเดียวกับที่ศาลปกครอง ศาลแพ่ง หรือศาลแรงงาน ไม่มีอำนาจรับฟ้องคดีอาญา

1.4 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญนั้น มีการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญทุกฉบับในอดีตที่ผ่านมารัฐสภาหรือองค์กรที่ทำหน้าที่รัฐสภาก็ได้มีกา

แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีทั้งการแก้ไขเป็นรายมาตรา
หรือแก้ไขทั้งฉบับเช่นใน พ.ศ.2538 หรือแก้ไขเพียงมาตราเดียวเพื่อจัดตั้งองค์กรขึ้นมายกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับเช่นใน พ.ศ.2539 และรัฐธรรมนูญที่แก้ไขเพิ่มเติมหรือยกร่างขึ้นใหม่ทั้งฉบับนั้น ก็ได้ประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมาแล้ว รวมถึงรัฐธรรมนูญ

ฉบับปัจจุบันเอง ก็ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมมาแล้ว และยังคงมีผลใช้บังคับมาจนถึงปัจจุบัน กรณีจึงเห็นได้ว่ากระบวนการ
แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญนั้น เป็นกระบวนการปกติในระบบรัฐสภาอันเป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ และที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันรัฐธรรมนูญก็ไม่เคยบัญญัติให้อำนาจแก่องค์กรใดเข้าไปตรวจสอบการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของรัฐสภาเลยไม่ว่ากรณีใด

1.5 การใช้สิทธิและเสรีภาพของบุคคลตามมาตรา 68 วรรคหนึ่ง อันจะอยู่ในอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญที่จะพิจารณาวินิจฉัยได้นั้น ต้องไม่หมายความรวมถึงการใช้อำนาจหน้าที่ตาม
บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญขององค์กรต่าง ๆตามรัฐธรรมนูญ กล่าวคือ เมื่อพิจารณาถ้อยคำของบทบัญญัติมาตรา 68 วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติว่า “บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ
..” ย่อมมีความหมายในเบื้องต้นว่า “บุคคล” นั้น ต้องเป็นบุคคลที่รัฐธรรมนูญรับรองให้มีสิทธิและเสรีภาพ และสิทธิและเสรีภาพนั้นต้องเป็นสิทธิและเสรีภาพตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญด้วย
เมื่อพิจารณาบทบัญญัติ ในหมวด 3 ซึ่งใช้คำว่า “สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย” ซึ่งตัวบุคคลที่จะมีสิทธิเสรีภาพในหมวดนี้ได้ คือ

บุคคลธรรมดาซึ่งมีสัญชาติไทย แต่สิทธิเสรีภาพบางอย่าง
นิติบุคคลอาจเป็นผู้ทรงสิทธิได้ ดังนั้นคำว่า “บุคคล” นอกจากหมายถึงบุคคลธรรมดาสัญชาติไทยแล้ว ย่อมรวมถึงนิติบุคคลสัญชาติไทยด้วยตามแต่ลักษณะและสภาพแห่งสิทธิเสรีภาพนั้น
และโดยหลักแล้วย่อมไม่หมายถึงนิติบุคคลตามกฎหมายมหาชน ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะ และเมื่อรัฐธรรมนูญบัญญัติถึงหมวดสิทธิและเสรีภาพไว้เป็นการเฉพาะ
ในหมวด 3 ตั้งแต่ส่วนที่ 1 ถึงส่วนที่ 13 ก็ย่อมมีความหมายว่า การใช้สิทธิและเสรีภาพของบุคคลตามความในมาตรา 68 วรรคหนึ่งนั้น ก็ย่อมหมายถึงการใช้สิทธิและเสรีภาพตามที่บัญญัติไว
้ในหมวดนี้เท่านั้น

องค์กรต่าง ๆ ตามรัฐธรรมนูญนั้นมิได้เป็น “บุคคล” ตามความหมายใน มาตรา 68 วรรคแรก แต่เป็นองค์กรที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายได้บัญญัติถึง

อำนาจหน้าที่ไว้ ได้แก่ รัฐสภา
สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ และองค์กรอื่น ๆตามรัฐธรรมนูญ การที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายได้บัญญัติ

ให้อำนาจหน้าที่ไว้
เป็นเรื่องของการกำหนดภารกิจขององค์กรนั้นๆ ที่จะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่บัญญัติไว้ การปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายขององค์กรเหล่านี้
จึงมิใช่เป็นเรื่องการใช้สิทธิและเสรีภาพ เพราะหากเป็นสิทธิและเสรีภาพแล้วก็เป็นสิทธิขององค์กรนั้นจะทำหรือไม่ทำก็ได้ แต่กรณีนี้ถือเป็นอำนาจหน้าที่และ

ภารกิจขององค์กร ทำนองเดียวกับศาลรัฐธรรมนูญที่รัฐธรรมนูญบัญญัติให้มีอำนาจหน้าที่ในการควบคุมความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมาย เช่น เมื่อศาลได้ส่งคำร้องของคู่ความให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ศาลรัฐธรรมนูญจะอ้างว่าเป็นสิทธิของศาลรัฐธรรมนูญ
ที่จะพิจารณาหรือไม่พิจารณาก็ได้ เช่นนี้ย่อมไม่อาจทำได้ ดังนั้น การใช้สิทธิและเสรีภาพอันจะเข้าข่ายเป็นการกระทำตามมาตรา 68 วรรคหนึ่ง ต้องเป็นเรื่องการใช้สิทธิและเสรีภาพของ “บุคคล” และต้องจำกัดขอบเขตเฉพาะสิทธิและเสรีภาพตามที่รัฐธรรมนูญได้บัญญัติรับรองไว้ตามรัฐธรรมนูญ

ในหมวด 3 เท่านั้น จะตีความขยายความไปถึงการใช้อำนาจหน้าที่ขององค์กรต่างๆ ตามรัฐธรรมนูญซึ่งไม่ได้ใช้สิทธิและเสรีภาพตามที่บัญญัติไว้ในหมวด 3 ของรัฐธรรมนูญด้วยมิได้

การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจหน้าที่ของรัฐสภาที่จะดำเนินการได้ตามมาตรา 291 ของรัฐธรรมนูญ การที่สมาชิกรัฐสภาทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาได้เสนอ
ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ย่อมเป็นการดำเนินการตามที่รัฐธรรมนูญให้อำนาจไว้ และเป็นหน้าที่ของรัฐสภาที่จะต้องพิจารณาไปตามขั้นตอนที่

รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ กรณีมิใช่เป็นเรื่อง
ของการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญในมาตรา 68 วรรคหนึ่งแต่อย่างใด

การที่ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า การเสนอญัตติของสมาชิกรัฐสภา และการพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของรัฐสภา เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ อันอยู่ในอำนาจของ
ศาลรัฐธรรมนูญที่จะตรวจสอบได้ตามมาตรา 68 วรรคหนึ่งของรัฐธรรมนูญนั้น ผลจะกลายเป็นว่าศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจเหนือองค์กรทุกองค์กรในรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเป็นรัฐสภา
คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และองค์กรอื่นๆตามรัฐธรรมนูญนอกเหนือจากที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ เพราะศาลรัฐธรรมนูญสามารถเข้าไปตรวจสอบการใช้อำนาจขององค์กรเหล่านั้นได้ทั้งหมด อันจะกระทบต่อการใช้อำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญขององค์กรต่าง ๆ การตีความเช่นนี้เท่ากับศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้บัญญัติรัฐธรรมนูญเสียเอง และมีฐานะอยู่เหนือองค์กรอื่นทั้งปวง อันจะทำให้หลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญฯและหลักการแบ่งแยกอำนาจ ซึ่งเป็นหลักสำคัญในรัฐธรรมนูญและหลักการสำคัญในระบบกฎหมายของรัฐถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง

นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาจากถ้อยคำที่ปรากฏในข่าวของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ข่าวที่ 7/2556 วันพุธที่ 3 เมษายน 2556 ที่ว่า “...คงเหลือแต่เพียงให้บุคคลผู้ทราบการกระทำเสนอเรื่อง
ให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงเพียงประการเดียว และให้สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญในกรณีที่บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามหมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทยเท่านั้น ไม่อาจใช้สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญให้พ้นจากการกระทำที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญในลักษณะอื่นนอกเหนือจากการใช้สิทธิและเสรีภาพ”แล้ว ยิ่งน่ากลัว

และน่าเป็นห่วงว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะเข้าไปตรวจสอบการกระทำอื่นที่มิใช่การใช้สิทธิและเสรีภาพของบุคคลตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 68 วรรคหนึ่ง

ด้วยการอ้างสิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ทั้ง ๆท
ี่สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญในส่วนที่ 3 ของรัฐธรรมนูญนั้น มีบัญญัติไว้เพียง 2 มาตรา คือ มาตรา 68 และมาตรา 69 ถ้อยคำดังกล่าวในข่าวทำให้เข้าใจได้ว่า ศาลรัฐธรรมนูญสามารถเข้าไปตรวจสอบการใช้อำนาจหน้าที่ของทุกองค์กรได้หมดแม้รัฐธรรมนูญจะมิได้บัญญัติไว้ก็ตาม และถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ก็จะเท่ากับว่าศาลรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม
รัฐธรรมนูญเสียเอง ทั้งๆที่ศาลรัฐธรรมนูญยอมรับในคำวินิจฉัยที่ 18-22/2555 ว่า รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันผ่านการลงประชามติโดยตรงของประชาชน การจะแก้ไขเพิ่มเติมโดยการยกร่าง
รัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ทั้งฉบับ ก็ควรให้ประชาชนได้ลงประชามติเสียก่อนว่าสมควรจะมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ หรือรัฐสภาจะใช้อำนาจในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา
ก็เป็นความเหมาะสมและเป็นอำนาจของรัฐสภา

ถ้อยคำที่ปรากฎในข่าวสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวเสมือนจะบอกเป็นนัยว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะไม่เคารพคำวินิจฉัยเดิม และหาทางออกให้กับคำร้องในขณะนี้ว่าศาลมีอำนาจ
เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ซึ่งจะยิ่งเป็นการจงใจฝ่าฝืนทั้งคำวินิจฉัยของตนเองและบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ

ข้อ 2. ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจรับคำร้องตามมาตรา 68 ไว้พิจารณาโดยตรงโดยมิได้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากอัยการสูงสุดก่อน

2.1 ตั้งแต่แรกที่มีการจัดตั้งศาลรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญ 2540 รัฐธรรมนูญได้บัญญัติให้การยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญต้องผ่านองค์กรหรือบุคคลตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด
เท่านั้นไม่มีบทบัญญัติใดให้สิทธิประชาชนที่จะเสนอคำร้องโดยตรงต่อ
ศาลรัฐธรรมนูญได้ ครั้นเมื่อประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2550 ก็เช่นกัน รัฐธรรมนูญยังคงหลักการใช้สิทธิต่อศาลรัฐธรรมนูญว่า ต้องกระทำโดยองค์กรหรือบุคคลตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด
หรือโดยผ่านองค์กรตามรัฐธรรมนูญ มีเพียงกรณีเดียวที่ประชาชนอาจใช้สิทธิโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ คือ ตามมาตรา 212 ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกรณีที่บุคคลผู้ถูกละเมิดสิทธิและเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ แต่ก็มีเงื่อนไขว่า ต้องเป็นกรณีที่ไม่อาจใช้สิทธิโดยวิธีอื่นได้แล้วเท่านั้น และอำนาจศาลรัฐธรรมนูญก็เพียงวินิจฉัยว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่เท่านั้น นอกเหนือจากนี้แล้วไม่ปรากฏว่ารัฐธรรมนูญได้ให้สิทธิประชาชนในกา
รใช้สิทธิยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญได้เลย เช่นเดียวกับการใช้สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 68 ที่ต้องเสนอเรื่องผ่านอัยการสูงสุดเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงเสียก่อน

2.2 สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 68 ของรัฐธรรมนูญนั้น มิใช่สิทธิส่วนบุคคลของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่เป็นสิทธิที่กำหนดขึ้นเพื่อประโยชน์สาธารณะของคนทั้งประเทศ
เพราะการล้มล้างการปกครองฯก็ดี หรือการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้
ในรัฐธรรมนูญก็ดี ย่อมกระทบต่อผลประโยชน์
ของประเทศชาติและประชาชนเป็นส่วนรวม ดังนั้น การจะปล่อยให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งใช้สิทธิโดยลำพังต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยตรงโดยที่ไม่ผ่านการตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนนั้น
อาจส่งผลกระทบต่อประโยชน์สาธารณะได้ เนื่องจากการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองฯ เช่น การประกาศชักชวนประชาชนเพื่อแช่แข็ง

ประเทศไทยด้วยการใช้กำลัง
หรือกรณีการบุกยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบิน เพื่อบีบบังคับรัฐบาลให้ลาออกนั้น ถือเป็นความผิดคดีอาญาร้ายแรงฐานกบฏในราชอาณาจักร บุคคลผู้ทราบการกระทำย่อมมีสิทธิแจ้งความ
กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนเพื่อสืบสวนสอบสวนดำเนินคดี ถ้าเห็นว่ามีมูลพนักงานสอบสวนก็เสนอเรื่องต่ออัยการ หากอัยการเห็นว่าคดีมีมูลก็มีหน้าที่ฟ้องคดีต่อศาลที่มีอำนาจพิจารณา
พิพากษาคดีอาญา และศาลก็มีหน้าที่ในการพิพากษาคดี อันเป็นกระบวนการยุติธรรมทางอาญาที่เป็นหลักสากล ซึ่งคดีเหล่านี้รัฐเท่านั้นที่เป็นผู้เสียหาย โดยอัยการเป็นตัวแทนรัฐ
ในการฟ้องคดีต่อศาล และหากอัยการเห็นว่าคดีไม่มีมูล บุคคลใดบุคคลหนึ่งจะไปฟ้องคดีเองแทนรัฐไม่ได้

ดังนั้น หากมีการกระทำตามมาตรา 68 วรรคแรก และบุคคลสามารถยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญได้แล้ว หากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย
ให้ยกคำร้อง เพราะไม่ใช่การล้มล้าง
การปกครองฯ ผลของคำวินิจฉัยย่อมต้องผูกพันอัยการสูงสุดด้วย แม้อัยการสูงสุดมีความเห็นว่ามีการล้มล้างการปกครองฯจริง ก็อาจมีปัญหาว่าจะดำเนินการฟ้องร้องผู้กระทำความ
ผิดต่อไปได้หรือไม่เพียงใด การตีความและสร้างรัฐธรรมนูญใหม่ของศาลรัฐธรรมนูญ ด้วยการทำตัวเป็นทั้งพนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ
และศาล เช่นนี้ จึงเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนมาตรา 68 เสียเอง และทำให้กระบวนการยุติธรรมทางอาญาทั้งระบบไม่อาจเดินไปได้ ด้วยเหตุนี้ผู้ร่าง
รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 ก็ดีพ.ศ.2550 ก็ดี คำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 12/2549 ก็ดี เอกสาร
ทางวิชาการและเว็บไซต์ของศาลรัฐธรรมนูญก่อนมีคำวินิจฉัยที่ 18-22/2555 ตลอดจนความเห็นของนักวิชาการจึงตรงกันหมดว่าต้องเสนอเรื่อง

ผ่านอัยการสูงสุดเสียก่อน เพราะอำนาจ
ของศาลรัฐธรรมนูญในกรณีนี้มีเพียง 2 กรณี คือ การสั่งห้ามกระทำและสั่งยุบพรรคการเมืองหากพรรคการเมืองเป็นผู้กระทำผิด อันเป็นการเพิ่มเติมและดำเนินไปคู่ขนานกับการดำเนินการ
ตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญา

อนึ่ง สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ได้อภิปรายไว้ในสภาร่างรัฐธรรมนูญว่า “...บทบัญญัติในมาตรา 67

(คือมาตรา 68 ในปัจจุบัน) ได้บัญญัติให้เป็นสิทธิของบุคคลที่จะใช้สิทธิในการนำเรื่องเสนอต่ออัยการสูงสุด.....บทบัญญัติของมาตรา 67 นั้น

มีลักษณะของการที่จะลงโทษ ทั้งในเชิงของการเป็นโทษทางอาญาตามที่
ปรากฏอยู่ในข้อความในวรรคที่ 2 รวมถึงโทษที่ไม่มีลักษณะทางอาญา แต่เป็นการลงโทษตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งหรือการเมือง
นั่นคือโทษการยุบพรรค ... ในทางอาญานั้น
ถ้าเราทราบว่ามีการกระทำความผิดกฎหมายอาญาเกิดขึ้น แม้ไม่รู้ตัวว่าผู้ใดเป็นผู้กระทำความผิด ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ก็ยังเปิดช่องว่า สามารถไปกล่าวโทษกับเจ้าพนักงานได้... ผู้ทราบเหตุการณ์นั้นควรที่จะต้องมีสิทธิที่จะมาร้องเรียนต่ออัยการสูงสุด
เพื่อให้ทำการตรวจสอบได้

ขั้นตอนที่มาร้องเรียนนั้นนี่ ก็เป็นหน้าที่ของอัยการสูงสุดครับ ท่านประธานครับ
ที่จะต้องตรวจสอบเรื่องราวว่ามีมูลหรือไม่มีมูล ก่อนที่ท่านจะนำเรื่องเสนอต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ดำเนินการในขั้นตอนต่อไป... ขอแก้ไขคำว่า ผู้รู้ เป็นผู้ทราบการกระทำดังกล่าวมีสิทธิเสนอ
เรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงได้”

จะเห็นได้ว่า ผู้ร่างได้เสนอให้แก้ไขคำว่า “ผู้รู้เห็นการกระทำ” เป็น “ผู้ทราบการกระทำ” เพื่อให้สอดคล้องกับการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ที่ประชาชนทั่วไปสามารถไปแจ้งความกล่าวโทษบุคคลที่ใช้สิทธิและเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองฯได้ จึงต้องเสนอเรื่องผ่านอัยการสูงสุดก่อน

นอกจากนี้ในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ 18-22 / 2555 ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยไว้ชัดเจนว่ารัฐสภาจะใช้อำนาจในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตราก็เป็นความเหมาะสม
และเป็นอำนาจของรัฐสภาที่จะดำเนินการดังกล่าวได้
ซึ่งจะเป็นการสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 และมีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 4 คน ที่วินิจฉัยว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจ
ในการตรวจสอบ
การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของรัฐสภา ซึ่งคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญควรนำประเด็นดังกล่าวมาพิจารณาการรับคำร้อง การละเลยในข้อกฎหมาย

อันเป็นสาระสำคัญ
จึงทำให้เห็นว่ามาตรฐานการรับคดีของศาลรัฐธรรมนูญนั้น มิได้ยืนอยู่บนหลักการของรัฐธรรมนูญและหลักนิติธรรมที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้
จึงไม่อาจยอมรับได้

2.3 เมื่อพิจารณาข้อความในมาตรา 68 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า “...ผู้ทราบการกระทำดังกล่าวย่อมมีสิทธิเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริง

และยื่นคำร้องขอให้
ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าว...” หากพิจารณาตามหลักการตีความตามถ้อยคำภาษาที่เป็นลายลักษณ์อักษรและเหตุผลทางกฎหมายจะได้ความหมายว่า
ผู้ทราบการกระทำมีสิทธิอย่างเดียวคือ เสนอเรื่องต่ออัยการสูงสุด ส่วนอัยการสูงสุดนั้นสามารถกระทำได้ 2 ประการ คือ การตรวจสอบข้อเท็จจริง และยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
สั่งการให้เลิกการกระทำ เพราะคำว่า และระหว่างคำว่า ตรวจสอบข้อเท็จจริง กับยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ซึ่งเป็นคำกริยาที่แสดงถึง

การกระทำของอัยการสูงสุด มิใช่ของผู้ทราบการกระทำ หากแปลความว่าการยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเป็นของผู้ทราบการกระทำเสียแล้ว อัยการก็จะเหลือเพียงการตรวจสอบข้อเท็จจริงเท่านั้น เมื่อตรวจสอบแล้วก็ไม่อาจทำอะไรต่อไปได้ ยิ่งหากแปลความว่าการยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยทำได้ทั้งอัยการสูงสุดและผู้ทราบการกระทำแล้ว นอกจากจะขัดแย้งต่อบทบัญญัติโดยชัดแจ้งแล้วยังขัดต่อหลักแห่งเหตุผลอีกด้วย เพราะการบัญญัติเช่นนั้นจะทำให้การทำหน้าที่ของอัยการสูงสุด

ม่อาจเป็นไปได้อีกต่อไป เพราะเมื่อผู้ทราบการกระทำสามารถยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ ก็ไม่จำต้องเสนอเรื่อง
ต่ออัยการสูงสุดอีก หรือเมื่อเสนอเรื่องต่ออัยการสูงสุดแล้ว ผู้ร้องกลับมายื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้เองอีกเช่นนี้ สิ่งที่อัยการสูงสุดดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงไว้ก็จะไร้ผลอีกเช่นกัน
การตีความของศาลรัฐธรรมนูญเช่นนี้ จะทำให้เกิดผลประหลาดที่ไม่มีเหตุผลทางกฎหมายรองรับ

การตีความของศาลรัฐธรรมนูญที่ให้สิทธิผู้ทราบการกระทำใช้สิทธิตามมาตรา 68 วรรคสอง ได้ 2 ทาง ย่อมทำให้อำนาจหน้าที่ของอัยการสูงสุดตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ขาดสภาพบังคับ
และไร้ผลในทางปฏิบัติ จึงเป็นการตีความที่ขัดต่อหลักความเป็นเอกภาพของรัฐธรรมนูญและหลักการคำนึงถึงภารกิจขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ เพราะการตีความรัฐธรรมนูญนั้นจะต้องตีความให้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้และต้องมีความสอดคล้องต้องกันทั้งระบบ จะทำให้บทบัญญัติส่วนหนึ่งมีผลบังคับใช้
แต่อีกส่วนหนึ่งไม่มีผลบังคับใช้มิได้ และการตีความจะต้องไม่ไปกระทบต่อการใช้อำนาจหน้าที่ขององค์กรอื่นๆ ตามรัฐธรรมนูญ เมื่อพิจารณาองค์ประกอบ

ของการกระทำ
อันเป็นการล้มล้างการปกครองฯ หรือกระทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ

ตามที่บัญญัติไว้
ในมาตรา 68 วรรคแรก แล้ว เห็นได้ว่าการกระทำลักษณะดังกล่าวนี้เป็นเหตุแห่งการยุบพรรคการเมืองตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 94 (1) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550 ด้วย ขั้นตอนการยุบพรรคการเมืองได้กำหนดไว้ในมาตรา 95แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าว ซึ่งมีกระบวนการตรวจสอบก่อนเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ โดยต้องผ่านการตรวจสอบจากนายทะเบียนพรรคการเมือง หลังจากนั้นนายทะเบียนต้องเสนอความเห็นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งแล้วจึงจะแจ้งต่ออัยการสูงสุดเพื่อยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาการขอให้ยุบพรรคการเมืองก็ดำเนินการโดยผ่านอัยการสูงสุดทุกครั้งไปดังนั้น เมื่อองค์ประกอบแห่งการกระทำอันเป็นเหตุให้ยุบพรรคการเมือง

ทั้ง 2 กรณีเหมือนกัน การที่มาตรา 68 วรรคสอง กำหนดให้อัยการสูงสุดเป็นผู้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ จึงสอดคล้องกับกรณีการยุบพรรคการเมืองตามกฎหมายพรรคการเมืองเป็นการบัญญัติกฎหมายที่สอดคล้องต้องกันเป็นระบบ

นอกจากนี้เมื่อพิจารณาเทียบเคียงกับบทบัญญัติอื่นๆ ของรัฐธรรมนูญแล้ว หากกรณีใดรัฐธรรมนูญมีวัตถุประสงค์หรือเจตนารมณ์ที่จะให้บุคคลเลือก

ใช้สิทธิได้ 2 ทาง
ก็จะบัญญัติไว้อย่างชัดเจน เช่น มาตรา 275 วรรคสี่ เรื่องการดำเนินคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับสูง ซึ่งให้สิทธิผู้เสียหายเลือกใช้สิทธิได้

โดยบัญญัติว่า

“ ในกรณีที่ผู้ถูกกล่าวหาตามวรรคหนึ่ง เป็นผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎร หรือประธานวุฒิสภา ผู้เสียหายจากการกระทำดังกล่าว
จะยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เพื่อให้ดำเนินการตามมาตรา 250 (2) หรือ จะยื่นคำร้องต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา
เพื่อขอให้ตั้งผู้ไต่สวนอิสระตามมาตรา 276 ก็ได้ แต่ถ้าผู้เสียหายได้ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติแล้ว ผู้เสียหายจะยื่นคำร้องต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้ต่อเมื่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติไม่รับดำเนินการไต่สวน ดำเนินการล่าช้าเกินสมควร
หรือดำเนินการไต่สวนแล้วเห็นว่าไม่มีมูลความผิดตามข้อกล่าวหา”

จากบทบัญญัติดังกล่าวจะเห็นได้ว่า รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ชัดเจนถึงทางเลือกของผู้เสียหายในการยื่นคำร้องให้ดำเนินคดีอาญาต่อผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับสูง
และยังกำหนดข้อจำกัดไว้ด้วยว่า หากเลือกดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดแล้ว จะมาดำเนินการอีกช่องทางหนึ่งได้ ต้องเข้าเงื่อนไขที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ด้วย
แต่กรณีตามมาตรา 68 วรรคสอง ไม่ได้บัญญัติให้ทางเลือกไว้สำหรับผู้ทราบการกระทำที่จะเสนอเรื่องต่ออัยการสูงสุดก็ได้ หรือจะยื่นคำร้องโดยตรง
ต่อศาลรัฐธรรมนูญก็ได้
ดังนั้น จึงต้องตีความถ้อยคำในบทบัญญัติและตามเจตนารมณ์ไปพร้อมกันว่า ผู้ทราบการกระทำต้องเสนอเรื่องไปยังอัยการสูงสุดได้ช่องทางเดียวเท่านั้น
ส่วนการยื่นคำร้อง
ต่อศาลรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจหน้าที่ของอัยการสูงสุด ศาลรัฐธรรมนูญจะไปกำหนดเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญขึ้นเองโดยปราศจากเหตุผลทาง
กฎหมายรองรับไม่ได้ ถ้าเป็นดังนั้นเท่ากับศาลรัฐธรรมนูญบัญญัติรัฐธรรมนูญขึ้นเอง และกระทำการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญเสียเอง จนอาจทำให้เข้าใจได้ว่าศาลรัฐธรรมนูญล้มล้างการปกครอง

ระบอบประชาธิปไตย
อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพราะทำให้รัฐสภาไม่สามารถทำหน้าที่ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ได้

ข้อ 3. มาตรฐานการรับคำร้องของศาลรัฐธรรมนูญไม่อาจยอมรับได้

3.1 การเร่งรัดพิจารณารับคำร้องอย่างผิดปกติวิสัยและขาดหลักความเสมอภาคในการพิจารณารับคำร้อง ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเมื่อมีผู้ยื่นคำร้องต่อศาล

รัฐธรรมนูญในวันที่ 2 เมษายน 2556
ปรากฏว่าสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้แถลงในวันนั้นว่า ในวันที่ 3 เมษายน 2556 คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะมีการพิจารณาคำร้องซึ่งก็ปรากฏว่า

ในวันที่ 3 เมษายน 2556
นั้นมีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญติดภารกิจไปต่างประเทศถึง 4 คน คงเหลือตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเพียง 5 คน แต่คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 5 คน

ได้ประชุมและมีมติ
อย่างเร่งด่วนในวันนั้นเองด้วยมติ 3 ต่อ 2 เสียง ให้รับคำร้องดังกล่าวไว้พิจารณา ทั้งที่ข้อเท็จจริงตามคำร้องมิใช่เป็นเรื่องเร่งด่วนที่ศาลจะต้องรับดำเนินการ

ในทันทีทันใดควร
ต้องรอให้ตุลาการที่เหลืออีก 4 คน ได้เข้าร่วมประชุมด้วยเพื่อให้เกิดความรอบคอบ แม้องค์คณะทั้ง 5 คน ถือได้ว่าครบองค์ประชุมแต่การมี
มติด้วยคะแนน 3 เสียง
จากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้งหมด 9 คนนั้น ย่อมขาดซึ่งความชอบธรรม แม้ต่อมาวันที่ 15 เมษายน 2556 ได้มีผู้มายื่นคำร้องในกรณีเดียวกัน
และศาลรัฐธรรมนูญ
ได้มีมติรับคำร้องไว้พิจารณาด้วยคะแนน 5 ต่อ 3 เสียงก็หาได้สร้างความชอบธรรมให้เกิดขึ้นกับศาลรัฐธรรมนูญไม่ เพราะหากเปรียบเทียบข้อเท็จจริงที่มีบุคคลอื่นซึ่งมิใช่ฝ่ายที่ต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญมายื่นคำร้องต่อศาลดังเช่นกรณีการชุมนุมขับไล่รัฐบาล
และประกาศจะแช่แข็ง
ประเทศไทยของพลเอกบุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ กับพวกซึ่งมีเจตนาล้มล้างรัฐบาล เมื่อมีผู้มายื่นคำร้องในวันที่ 5 และ 15 พฤศจิกายน 2555
เพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ
มีคำสั่งห้ามกระทำการ ศาลรัฐธรรมนูญกลับมิได้เร่งดำเนินการทั้งที่จะมีการนัดชุมนุมและปฏิบัติตามแผนในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2555
ปรากฏว่าในวันที่
22 พฤศจิกายน 2555 ศาลได้เรียกแกนนำมาไต่สวนและมีมติไม่รับคำร้องไว้พิจารณาในวันเดียวกัน เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วจะเห็นว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นเป็นเรื่องการดำเนินการ
ของรัฐสภาซึ่งมีขั้นตอนชัดเจนไม่จำเป็นที่ศาลรัฐธรรมนูญจะต้องเร่งรัดพิจารณาในทันที แต่กรณีของการชุมนุมขับไล่รัฐบาลนั้นเป็นกรณีเร่งด่วน แต่ศาลกลับมิได้เร่งดำเนินการแต่อย่างใด

นอกจากนี้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 2 คน ที่มีมติรับคำร้องไว้พิจารณาประกอบด้วย นายจรัญ ภักดีธนากุล และนายสุพจน์ ไข่มุกต์
ข้อเท็จจริงเป็นที่ทราบกัน
ทั่วไปว่าทั้ง 2 คน มีส่วนได้เสียในรัฐธรรมนูญเพราะเคยเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญและกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ดังนั้น
ในด้านจรรยาบรรณของตุลาการ และตามหลักวิชาชีพแล้ว
ย่อมไม่สมควรที่ตุลาการ 2 คนดังกล่าว จะร่วมพิจารณาคำร้องนี้ตั้งแต่แรกเพราะเป็นการขัดกันแห่งประโยชน์อย่างชัดแจ้ง โดยเฉพาะนายจรัญ
ภักดีธนากุล เอง
ได้เคยแถลง
ผ่านสื่อมวลชนเป็นที่รับทราบกันโดยทั่วไปทำนองว่า รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 นั้น มีข้อบกพร่องและเห็นสมควรว่าจะต้องมีการแก้ไข ซึ่งการแก้ไขอาจ
ทำแบบรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540
คือ แก้มาตราเดียวเพื่อให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมายกร่างได้ และเมื่อครั้งการพิจารณาคดีในคำวินิจฉัยที่ 18-22/2550 นั้น นายจรัญ ภักดีธนากุล
ได้ถูกทักท้วงในเรื่องนี้
และได้ขอถอนตัวออกจากคดีไป มาในวันนี้ นายจรัญ ภักดีธนากุล กลับมีมติรับคำร้องเรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญไว้พิจารณา ทั้งที่ตนเองเคยพูดไว้ถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ว่าทำได้ และในคดีดังกล่าวตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 4 คน ได้วินิจฉัยไว้ในคำวินิจฉัยส่วนตนโดยชัดเจนว่า การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจ
ของรัฐสภา
ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจไปวินิจฉัยกรณีดังกล่าว

3.2 การตีความของศาลรัฐธรรมนูญไม่สอดคล้องกับหลักการตีความกฎหมายลายลักษณ์อักษรและหลักการตีความรัฐธรรมนูญ เมื่อพิเคราะห์การตีความของศาลรัฐธรรมนูญในการรับคำร้องไว้พิจารณาเห็นได้ว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้ใช้ทั้งหลักการตีความกฎหมายลายลักษณ์อักษ
รและหลักการตีความ
รัฐธรรมนูญแต่ได้ใช้หลักการตีความของศาลเอง ทั้งนี้ เพราะเมื่อพิจารณาบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วรรคหนึ่ง เกี่ยวกับองค์ประกอบความผิดและวรรคสองเกี่ยวกับ
ขั้นตอนการเสนอคำร้องต่อศาลแล้ว ศาลได้ตีความผิดไปจากบทบัญญัติและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน กล่าวคือได้ตีความว่าการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเป็นการ
ที่บุคคลได้ใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ และตีความว่าการเสนอคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญสามารถทำได้ 2 ช่องทาง คือ เสนอเรื่องต่ออัยการสูงสุด
เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง
และยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ หรือจะยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยตรงก็ได้ ซึ่งการตีความเรื่องนี้ทำให้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญมีความขัดแย้งกันเอง ทำให้ขาดความ
เป็นเอกภาพของรัฐธรรมนูญ ทำให้บทบัญญัติส่วนที่ให้อำนาจอัยการสูงสุดไร้สภาพบังคับ และมีผลกระทบต่ออำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญของอัยการสูงสุด
และรัฐสภา อันเท่ากับศาลรัฐธรรมนูญได้เข้าไปใช้อำนาจหน้าที่แทนอัยการสูงสุดและรัฐสภาเสียเอง

อีกทั้งเนื้อหาสาระสำคัญของการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 นั้นก็เพียงเพื่อให้เกิดความชัดเจนถึงกรอบ ขั้นตอนและวิธีการใช้สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ของบุคคล
ผู้ทราบว่ามีการใช้สิทธิและเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองฯ โดยให้เสนอเรื่องไปยังอัยการสูงสุด เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนยื่นคำร้องไปยัง
ศาลรัฐธรรมนูญเท่านั้น
สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญของประชาชนก็ยังมีอยู่เช่นเดิม มิได้มีการตัดสิทธิดังกล่าวแต่อย่างใด เหตุที่มีการแก้ไขก็เป็นผลสืบเนื่องมาจากที่ศาล
รัฐธรรมนูญได้ตีความ
ในลักษณะของการขยายเขตอำนาจรับคดีของตนเองว่า ให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้โดยตรง อันไม่สอดคล้องกับถ้อยคำในบทบัญญัติ
รวมถึงเจตนารมณ์
ของรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ พ.ศ. 2540 และ พ.ศ. 2550 ฯลฯ ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นทั้งที่อำนาจการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของรัฐสภานั้น
จะยกเลิกมาตรา 68
หรือแก้ไขเป็นประการใดก็ย่อมทำได้

การตีความขยายเขตอำนาจตนเองของศาลรัฐธรรมนูญเช่นนี้ นับเป็นอันตรายต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรง
เป็นประมุขอย่างยิ่ง
เพราะการตีความเพิ่มอำนาจให้กับตนเองดังกล่าว มีผลเท่ากับศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้บัญญัติรัฐธรรมนูญเสียเอง และไม่ต้องผูกพันตนต่อรัฐธรรมนูญ อีกทั้งไม่มีองค์การใด
ตรวจสอบถ่วงดุลได้ หากยอมรับอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญก็จะเท่ากับเป็นการส่งเสริมให้ศาลรัฐธรรมนูญได้ขยายอำนาจของตนเองอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และทำลายหลักการ
แบ่งแยกอำนาจและหลักการสำคัญอื่นในรัฐธรรมนูญลงโดยสิ้นเชิง

ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น ในนามของสมาชิกรัฐสภาขอประกาศยืนยันเจตนารมณ์ร่วมกันอีกครั้งว่า ขอคัดค้านการใช้อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญในการรับคำร้องเรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของสมาชิกรัฐสภาไว้พิจารณาทั้งยังเป็นการรับคำร้องโดยตรง
โดยไม่ผ่านอัยการสูงสุดเสียก่อน สมาชิกรัฐสภาที่เกี่ยวข้องทุกคนขอยืนยันอย่างแน่วแน่ว่าจะปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้แทนปวงชนชาวไทยตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน และเพื่อคงไว้ซึ่งหลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ หลักการแบ่งอำนาจ หลักนิติธรรม และเกียรติภูมิของสถาบันรัฐสภาอันเป็นหลักการและสถาบันที่สำคัญของการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ต่อไป

อย่างไรก็ดีเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากการรับคำร้องไว้พิจารณาและมีคำวินิจฉัยในคำวินิจฉัยที่ 18-22/2555 และการรับคำร้องไว้
พิจารณาในคดีนี้
พวกเราขอแจ้งมายังพี่น้องประชาชนทุกท่านและศาลรัฐธรรมนูญว่า ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญได้ไตร่ตรองและพิจารณาแนวทางการรับคดีเรื่องนี้เสียใหม่
เพื่อให้คงไว้ซึ่ง
ความศักดิ์สิทธิ์และความน่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญเอง โดยที่พวกเรามิได้มีอคติหรือเจตนาร้ายใดๆ ต่อศาลรัฐธรรมนูญแม้แต่น้อย
แต่สถานะความเป็น
สมาชิกรัฐสภาซึ่งเป็นผู้แทนของปวงชน ไม่อาจทนเห็นและยอมรับความผิดพลาดบกพร่องของศาลรัฐธรรมนูญที่เกิดขึ้นและปล่อยให้เป็นเช่นนี้
อีกต่อไปได้ ทั้งที่สมาชิกรัฐสภาได้โต้แย้งและคัดค้านอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญในเรื่องนี้มาโดยตลอดตั้งแต่รับวินิจฉัยในคำวินิจฉัยที่ 18-22/2555 แล้ว จึงพร้อมกันแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันในการดำเนินการครั้งนี้เพื่อรักษาไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
และศาลรัฐธรรมนูญไม่อาจอ้างผลแห่งคำวินิจฉัยที่เป็นเด็ดขาดและผูกพันองค์กรต่างๆ มาใช้ในกรณีนี้ได้เพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่จะเป็นเด็ดขาดและผูกพันองค์กรต่างๆ นั้นต้องเป็นคำวินิจฉัยที่ชอบด้วยกฎหมายและอยู่ในขอบเขตอำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญเท่านั้นหากเป็นการวินิจฉัยที่เกินขอบเขตอำนาจแล้วก็ไม่มีผล
ผูกพันองค์กรอื่น องค์กรต่างๆ ที่มีอำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญจึงชอบที่จะใช้อำนาจหน้าที่ของตนตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ต่อไปได้

จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ

ขอแสดงความนับถือ

คณะสมาชิกรัฐสภา

http://www.ptp.or.th/news/m-detail.aspx?news_id=5009

 <Previous>< Home ><Next>
 


Copyright (C)
2003 By www.fudfidforfun.com All rights reserved.